How to be an Au Pair

How to be an Au Pair

English version currently unavailable. We're still in the process of translating every article.

ออแพร์

ออแพร์คืออะไร?

ออแพร์เป็นโครงการพี่เลี้ยงเด็กในต่างประเทศ เพื่อไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้วรรณธรรมและการใช้ชีวิตในต่างแดน เรียน ทำงานและอาศัยอยู่กับครอบครัวที่เรียกกันว่า “โฮสแฟมมิลี่” ซึ่งจะมีฝั่งยุโรปและอเมริกา ในที่นี้เราไปอเมริกามาก็จะขอพูดถึงออแพร์ฝั่งอเมริกานะค่ะ

คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นออแพร์

1.จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า18ปีและไม่เกิน 26 ปี บริบูรณ์
2.ภาษาอังกฤษพอสื่อสารได้
3.ขับรถเป็น และมีใบขับขี่สากล
4.ไม่มีประวัติการก่ออาชญกรรม
5.ไม่เป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือโรคติดต่อใดๆ
6.มีใจรักเด็กและงานบริการ
7.ค่าสมัครและค่าโครงการ (ราคาแล้วแต่เอเจนซี่ค่ะ)
ค่าสมัครจะอยู่ที่ประมาณ 4000-6000 บาท (อันนี้จะได้ไปหรือไม่ได้ไปก็ต้องจ่าย) ส่วนค่าโครงการประมาณ 3-4 หมื่นบาท (สำหรับคนที่ผ่านขั้นตอนทุกอย่างแล้ว หมายความว่าได้ไปชัวร์ถึงค่อยจ่ายค่ะ)

ทำไมถึงอยากเป็นออแพร์?

เริ่มจากตอนเรียนไม่เคยสนใจวิชาภาษาอังกฤษเลย พอจบมาจะไปสมัครงานที่ไหนส่วนใหญ่คนที่ได้ภาษาก็จะได้เปรียบ อยากฝึกภาษา อยากไปเที่ยว ไปเรียนต่างประเทศ แต่ไม่ได้มีทุนหนาขนาดนั้น จะไปโครงการ work and Travel ก็ไม่ทันเพราะเรียนจบแล้ว พอมาเจอโครงการออแพร์ก็เลยสนใจขึ้นมาทันที และอีกเรื่องนึงที่ดึงดูดใจก็คือเรื่องเงินค่ะ ตอนเรียนจบมาใหม่ๆทำงานประจำเงินเดือนสตาร์ทที่ 12000 บาท/ต่อเดือน หักลบค่าใช้จ่ายแล้วเดือนๆนึงจะเหลือแค่ไม่กี่พัน ซึ่งถ้าเทียบกับเงินเดือนออแพร์ ถ้าตีเป็นเงินไทยก็จะอยู่ที่ประมาณ 26000 บาท กินฟรี ที่พักฟรี ใช้จ่ายแค่ของใช้ส่วนตัว ตกแล้วคิดว่ายังไงก็คงจะเหลือเก็บอย่างน้อยก็เดือนละสองหมื่นอัพ แถมยังได้เที่ยว ได้ฝึกภาษา ได้หาประสบการณ์ใหม่ๆ พูดง่ายๆว่ายังไงก็คุ้มค่ะ แถมส่วนตัวเป็นคนรักเด็กอยู่แล้วคิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เลยตัดสินใจเข้าโครงการออแพร์ในที่สุด

กว่าจะมาเป็นออแพร์

1.เอเจนซี่

ก่อนอื่นจะต้องหาเอเจนซี่ค่ะ ซึ่งมีหลายที่ ทุกเอเจนซี่ก็จะมีข้อตกลงการทำงานและรายได้เหมือนกันหมด แต่ต่างกันที่ค่าใช้จ่ายและสวัสดิการของแต่ละเอเจนซี่จะไม่เหมือนกัน ตอนไปฟังสัมมานาครั้งแรกก็รู้สึกแฮปปี้กับเอเจนที่ไปฟังก็เลยตกลงเอาเอเจนนั้นเลย ไม่ได้ไปฟังหรือเปรียบเทียบกับเอเจนอื่น (จริงๆควรจะศึกษาหลายๆที่เพื่อเปรียบเทียบหน่อยก็ดีค่ะ) จากนั้นเอเจนซี่ที่ดูแลเราก็จะเป็นคนคอยบอกขั้นตอนต่างๆว่าเราจะต้องทำอะไรบ้าง ุุถามว่าไม่เข้าร่วมโครงการกับเอเจนซี่ได้มั้ย? อาจจะมีปัญหาในเรื่องของการทำวีซ่า เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขอเวิคเพอมิทในอเมกา หรือ ถ้าหากเราจะไปวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่านักเรียน ก็จะไม่ได้รับอนุญาติให้ทำงาน และถ้าเราต้องไปอยู่อาศัยกับครอบครัวที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ก็อาจจะมีความเสี่ยงสูง ถ้ามีปัญหาอะไรมาเราก็ไม่สามารถไปเรียกร้องขอความยุติธรรมจากที่ไหนได้เพราะถือว่าไปทำงานผิดกฏหมาย อย่างน้อยถ้าเรามีเอเจนซี่รองรับ จะมีคนคอยดูแลในจุดนี้ค่ะ

2.เก็บประสบการณ์เลี้ยงเด็ก

ก่อนที่เราจะไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ลูกชาวบ้านนั้น เราจะต้องผ่านการฝึกเลี้ยงเด็กมาก่อนค่ะ หมายถึงการไปฝึกงานหรือเก็บประสบการณ์เลี้ยงเด็กตามสถานที่เลี้ยงเด็กต่างๆเช่น โรงเรียนอนุบาล เนอสเซอรี่ โรงพยาบาลเด็ก หรือพี่เลี้ยงตามบ้าน ทางเอเจนซี่จะมีลิสรายชื่อสถานที่ที่รับเด็กฝึกงานให้ แต่ตัวเราจะต้องเป็นคนไปติดต่อขอฝึกงานกับทางสถานที่นั้นๆเอง ซึ่งตามข้อตกลงเราจะต้องเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็กให้ได้ ขั้นต่ำ400ชั่วโมง (เช่น ถ้าฝึกงานวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน ก็ต้องฝึกประมาณ 5สัปดาห์ ถึงจะครบ400ชั่วโมง) ใครยิ่งมากยิ่งดีถือว่ามีประสบการณ์เยอะ เมื่อฝึกครบกำหนดเราก็จะต้องขอใบเซนรับรองจากสถานเลี้ยงนั้นๆไว้เป็นหลักฐานยืนยันด้วยค่ะว่าเราได้ผ่านการฝึกเลี้ยงเด็กมาจริงๆ ระหว่างฝึกงานก็ควรจะถ่ายรูปเก็บไว้เยอะๆค่ะ เพราะเราจะต้องเอามาประกอบทำวิดีโอโปรไฟล์ในตอนต่อไป

3.ทำวิดีโอโปรไฟล์

เราจะต้องทำวิดีโอแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆประมาณ 1-3 นาที ประกอบด้วยข้อมูลส่วนตัวและประสบการณ์การเลี้ยงเด็กค่ะ เทคนิคสำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง ให้ตัดภาพไปวิดีโอแล้วเราก็อ่านสคริปเอาค่ะ

4.ทำใบขับขี่สากล

สำหรับใครที่ยังขับรถไม่เป็นก็ควรจะไปฝึกขับรถและทำใบขับขี่ค่ะ เพราะบางบ้านก็อาจจะต้องการพี่เลี้ยงที่สามารถขับรถไปรับส่งเด็กๆที่โรงเรียนได้ แนะนำสถานที่เรียนขับรถ เราเรียนที่สถาบันUPDค่ะ ข้อดีคือสามารถเรียนและสอบที่โรงเรียนได้เลย โอกาสสอบผ่านในครั้งแรก95% เพราะเราจะชินกับสนามสอบเวลาสอบปฏิบัติจะง่ายหน่อยค่ะ ถ้ายังไม่ผ่านก็สามารถสอบใหม่จนกว่าจะผ่าน ข้อเสียคือราคาค่อนข้างสูงกว่าที่อื่น คอร์สละ 5500 บาท และสำหรับใบขับขี่สากลก็มีค่าใช้จ่ายอีก 505 บาทค่ะ

5.ตรวจร่างกาย

่สิ่งสำคัญเลยที่จะต้องตรวจก็คือ ไวรัสตับอักเสบบีค่ะ และเราก็ไม่ควรมีโรคติดต่อใดๆ เพราะมันจะเป็นพาหะที่ทำให้ไปติดน้องได้ ถ้าสุขภาพของเราไม่โอเคจริงๆก็ไม่ควรจะโกหกนะค่ะ เพราะค่ารักษาที่อเมริกาแพงกว่าบ้านเราหลายเท่าตัว ถ้าเป็นอะไรขึ้นมานี่ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆค่ะ

6.ตรวจประวัติการก่ออาชญกรรม

แน่นอนว่านายจ้างก็ต้องอยากได้ความมั่นใจว่าเราไม่เคยมีประวัติการก่ออาชญกรรมใดๆ ถึงแม้ว่าเราจะรู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่าเราไม่เคยมีคดีมาก่อน แต่ก็เป็นกฏข้อบังคับให้ตรวจทุกคนเพื่อที่จะเอาหลักฐานยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนสถานที่ตรวจสอบจะต้องไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะอยู่ข้างๆสยาม และค่าใช้จ่าย 100 บาทค่ะ

7.กรอกประวัติออนไลน์

จะมีเว็บไซต์รวบรวมประวัติออแพร์ แล้วถ้ามีโฮสเข้ามาดูประวิติและสนใจเรา เค้าก็จะนัดสัมภาษณ์ผ่านสไกด์ ถ้าคุยกันแล้วโอเคกันทั้งสองฝ่ายก็เตรียมบินได้เลยค่ะ แต่ถ้ายังไม่โอเค ก็ต้องรอคุยกับบ้านต่อไป

8.สัมภาษณ์กับโฮสแฟมิลี่

หลังจากที่เราทำประวัติออนไลน์เรียบร้อยแล้วนั้น ถ้ามีโฮสเข้ามาดูประวิติและสนใจเรา เค้าก็จะนัดสัมภาษณ์ผ่านสไกด์ ทำความรู้จักและตกลงรายละเอียดการทำงานต่างๆ ถ้าคุยกันแล้วโอเคกันทั้งสองฝ่ายก็เตรียมบินได้เลยค่ะ แต่ถ้ายังไม่โอเค ก็ต้องรอคุยกับบ้านต่อไป

9.ชำระค่าโครงการ

หลังจากตกลงได้โฮสเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงเวลาที่เราต้องจ่ายค่าโครงการ และประกันต่างๆ อันนี้แต่ละเอเจนซี่จะไม่เท่ากันค่ะ ของเอเจนซี่เราจ่ายไป 36000 บาท รวมตั๋วเครื่องบินไปกลับ (แต่มีข้อแม้ว่าต้องอยู่ให้ครบ1-2ปีตามสัญญา ถึงจะได้ตั๋วขากลับนะค่ะ) ส่วนตัวคิดว่าราคานี้แค่ค่าตั๋วเครื่องบินก็คุ้มแร้วว

10.ทำวีซ่า

ในส่วนนี้ทางเอเจนซี่ก็จะเป็นคนช่วยเราเตรียมเอกสารทุกอย่างค่ะ ส่วนเรามีหน้าที่จ่ายตัง 5400บาท และทำการนัดวันสัมภาษณ์ แนะนำแต่งตัวให้เรียบร้อยเหมือนไปสัมภาษณ์งาน ไม่ต้องตื่นเต้นเพราะเอกสารแน่นมาก มีใบผ่านการรับรองจากเอเจนซี่ ค่อนข้างผ่านง่ายค่ะ

11.เดินทาง

และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง ใจหายเหมือนกันค่ะ เพราะต้องจากบ้านจากพ่อแม่ไปเป็นปีๆ บางคนอาจจะมีเพื่อนบินไปพร้อมกันแต่บางคนอาจจะบินคนเดียวแล้วแต่จังหวะและโอกาสค่ะ ส่วนตัวเรามีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยอีกสองคน ใช้เวลาเดินทางประมาณยี่สิบกว่าชั่วโมง เรียกได้ว่าวันนึงเลยเต็มๆ หลับแล้วหลับอีก

ข้อดีและข้อเสียจากการเป็นออแพร์

แน่นอนว่าข้อดีก็คือการได้เที่ยวต่างประเทศ ได้พัฒนาภาษา ได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ถ้าประหยัดๆหน่อยก็อาจจะมีเงินเก็บกลับบ้านอยู่พอตัว แลกกับข้อเสียคือ ต้องห่างบ้าน ห่างครอบครัว หรือถ้ามีแฟนบางคนก็อาจจะถึงขั้นต้องเลิกกันแฟนถ้าความสัมพันธ์ไม่เหนียวแน่นพอ เมื่อพอไปถึงแล้วก็ต้องเสี่ยงกับการอยู่กับโฮสแฟมมิลี่ซึ่งเหมือนกับคนแปลกหน้าที่ยังไม่รู้จะเข้ากันได้รึป่าว ถ้าไม่โอเคก็จะต้องรีแมชหรือย้ายบ้านนั่นเอง แล้วจะต้องเสี่ยงเอาดาบหน้ากับบ้านใหม่อีก แต่ถ้าได้โฮสดีก็โชคดีไปค่ะ และอีกข้อเสียหนึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวคือ เวลาต้องกลับไทยก็จะคิดถึงเด็กมากๆค่ะ อันนี้สำหรับคนที่แฮปปี้กับครอบครัวโฮสนะ

อันนี้เป็นตัวอย่างรูปภาพจากการไปฝึกเลี้ยงเด็กค่ะ แปะไว้เพื่อเป็นแนวทางการเก็บรูปโปรไฟล์สำหรับน้องๆที่สนใจนะค่ะ

Image of how to be an aupair

Image of how to be an aupair

Image of how to be an aupair

Image of how to be an aupair

Image of how to be an aupair

ขอบคุณละอองรักเนอสเซอร์รี่ที่ให้โอกาสฝึกงานด้วยค่า เข้าชมเว็บไซต์ของละอองรักเนอสเซอร์รี่ได้ที่ » (click link)

**รูปจากโทรศัพท์มือถือ samsung note3 (กล้องสด ไม่มีการปรับแต่งอะไรใดๆทั้งสิ้น)

Author face

Popa Pompom

Traveler - Au Pair - Beautician - Tattoo Artist

Recent post